วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความขัดแย้งในสังคมไทย


                ความขัดแย้งในสังคมไทยมีมาตั้งแต่ในอดีต ตั้งแต่สงครามชิงราชบัลลังก็สมัยสุโขทัย กบฎยึดราชบัลลังก์สมัยอยุธยา กบฏโค่นอำนาจพระเจ้าตากสินมหาราช กบฏและรัฐประหารอีกไม่น้อยกว่า  27 ครั้งในสมัยรัตนโกสินทร์ เช่น กบฏ ร.ศ.130, กบฏนายสิบ, กบฏบวรเดช, กบฏวังหลวง, กบฏยังเตอร์ก, กบฏแมนฮัตตัน จนไปถึงการก่อกบฎเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิ.ย.2475 ซึ่งการก่อกบฏในประเทศไทยยังไม่ได้สิ้นสุดลงโดยสิ้นเชิง หลังจากนั้นก็เกิดความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ระหว่างรัฐไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี 2492-2525  และสิ้นสุดลงด้วยนโยบายการให้อภัย ตามคำสั่งที่ 66/2523 ต่อมาก็เป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลเผด็จการกับกระแสเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชน อันก่อให้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และพฤษภาทมิฬ 2535
                แต่ความขัดแย้งที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ ยังไม่ได้มีความรุนแรงเท่าความขัดแย้งทางการเมืองยืดเยื้อ เรื้อรังในขณะนี้ ที่เริ่มต้นเมื่อปลายปี 2548 และพัฒนามาเป็นความขัดแย้งระหว่าง กลุ่มความคิดเห็นทางการเมืองสองกลุ่มอยู่จนถึงทุกวันนี้ ความขัดแย้งยาวนานนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าจะจบลงอย่างไร แต่ที่แน่ใจได้ก็คือ ผลกระทบของมันมีความรุนแรงมากหลายด้าน ดังนี้


                1.ความขัดแย้งดังกล่าวถูกกระพือให้เป็นความขัดแย้งร้าวลึกระหว่างประชาชน ลุกลามไปทุกที่ ไม่ว่าในครอบครัว ในบรรดาเพื่อนฝูงที่ทำงาน จนแม้ระหว่างคนในภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะคนภาคเหนือและภาคอีสานฝ่ายหนึ่ง กับคนภาคใต้ ถึงขั้นที่มีการตั้งคำถามถึงเอกภาพและบูรณภาพของความเป็นชาติไทยเลยทีเดียว
                2. ไม่มีความขัดแย้งครั้งใดที่เกือบทุกสถาบันหลักของประเทศถูกตั้งคำถามถึงความ ชอบธรรม และบทบาทมากที่สุด อย่างในเวลานี้ รัฐบาลพลังประชาชนประชาชนของอดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ถูกคนเสื้อเหลืองประท้วงยืดเยื้อ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ถูกคนเสื้อแดงประท้วงไม่เลิก รัฐสภาก็ถูกตั้งฉายาที่แสดงให้เห็นการไม่ยอมรับ องค์กรอิสระก็ถูกท้าทายและไม่ยอมรับ ศาลซึ่งไม่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็ถูกวิพากษ์อย่างเปิดเผย สถาบันองคมนตรีซึ่งควรอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง ก็เป็นเป้าการโจมตีของคนบางกลุ่ม และอาจนำมาซึ่งความล่มสลายของประชาธิปไตยได้หากปล่อยให้ยืดเยื้อ
                3.หลักนิติธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายในบ้านเมืองถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงโดยรัฐเองและประชาชน การทุจริตที่ปรากฏเป็นข่าวมากมายในฝ่ายการเมืองและข้าราชการแสดงให้เห็นความไม่แยแสต่อกฎหมายของผู้มีอำนาจ ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการที่ฝูงชนทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดงสามารถกระทำการท้าทายความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายได้โดยมิได้มีอะไร เกิดขึ้น ทำให้มีการตั้งคำถามกันว่า รัฐไทยเป็นรัฐที่ล้มเหลว


               
4. การลุกลามของความขัดแย้งในประเทศเป็นปัญหาระหว่างประเทศของไทยกับเพื่อนบ้าน คือกัมพูชา ซึ่งถ้าไม่จัดการให้ดีก็จะกระทบกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศทั้งอาจลุกลามไปสู่ภูมิภาคก็เป็นได้
                5. ผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้น ยังไม่มีสถาบันใดทำตัวเลขให้เห็นชัดสำหรับความสูญเสียดังกล่าวของประเทศไทย แต่ถ้าเทียบกับประเทศเกาหลีใต้ที่ความรุนแรงของความขัดแย้งของสังคมน้อยกว่าไทยมากก็จะเห็นความน่ากลัว

                นักการเมืองมักมองเป็นเกมส์ทางการเมือง เล่นพรรคเล่นพวก มือใครยาวสาวได้สาวเอา แต่มักเป็นไปแบบเช้าชามเย็นชาม นักการเมืองส่วนมากมัดทุจริตและกอบโกยผลประโยชน์  ความไม่สามัคคีของนักการเมือง แม้จะหน่วยงานคอยตรวจสอบก็ตามที ก็เป็นไปอย่างไม่เต็มที่นักด้วยเกรงกลัวอำนาจและอิทธิพล ปัญหาอีกอย่างของการเมืองคือด้านการดำเนินนโยบายผิดพลาด อันเกิดผลเสียกับสังคมและประเทศชาติ  ผู้บริหารประเทศยังไม่ได้มีการบริหารอย่างเต็มความรับผิดชอบ ยังมีการเล่นการเมืองมากเกินความจำเป็นซึ่งมีผลทำให้การดำเนินนโยบายต่างๆยังไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริงของประเทศ บางครั้งนโยบายหลายๆ นโยบายก็ดูน่าจะดี แต่กลับไม่ได้ผลเต็มที่ซึ่งก็มีสาเหตุมาจากการไม่สามารถนำ นโยบายไปปฏิบัติกันอย่าง มีประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผล บ่อย ครั้งเป็น การดำเนินนโยบายเพื่อสร้างภาพให้แก่ ส่วนตน แต่ให้ความสำคัญของประสิทธิผลน้อยมาก หรือ แทบจะไม่ให้ความสำคัญเลย
ระบบราชการ   ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการส่งออก และ อีก หลายๆ ธุรกิจหน่วยงานต่างๆ มีการทำงานซ้ำซ้อนกัน ซึ่งอันที่จริงแล้ว โครงสร้างของระบบราชการก็ได้มีการ กำหนดไว้ดีแล้ว แต่ก็ไปผิดพลาดที่การปฏิบัติอีก เพราะต่างคนต่างพยายามสร้างผลงานให้โดดเด่น ในสายตา ของผู้บังคับบัญชา หรือแม้กระทั่งนักการเมือง จนลืมนึกถึงประชาชน แต่ ก็มีข้าราชการระดับกลาง และ ระดับล่างที่มีแนวความคิดที่ดี ๆ แต่ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้แสดงฝีมือเนื่องจากติดที่ระบบราชการที่ยังเป็นระบบศักดินา ผสมกับระบบอุปถัมภ์อยู่ตราบใดที่ผู้ใหญ่ในภาครัฐยังไม่ยอมรับความจริงเหล่านี้ ปัญหาของชาติไทยคงมีแต่การสูญเสียไปอย่างต่อเนื่อง

สาเหตุแห่งความขัดแย้ง
                ถ้าหากวิเคราะห์ตามหลักรัฐศาสตร์และหลักการปกครองโดยทั่วไปแล้ว สาเหตุของปัญหาสามารถแบ่งย่อยๆได้ดังนี้
               
1. ความไม่ลงตัวกันทางความเห็นทางการเมือง ตั้งแต่ในอดีตแล้วที่คนสยาม, คนไทย หรือจะเรียกด้วยศัพท์อะไรก็ตามมีการสร้างระบอบการปกครองจากชุมชนเล็กๆสู่อาณาจักรขนาดใหญ่ เมื่อใดก็ตามที่มีความเห็นไม่ลงตัวกัน สมาชิกในสังคมก็จะเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย มีการแสดงความคิดเห็นของตนให้ผู้อื่นได้รับรู้ ผู้ที่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกันก็จะถูกมองว่าเป็นฝ่ายเดียวกัน ผู้ที่มีความเห็นต่างออกไปก็จะถูกมองว่าเป็นศัตรู มีการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ เป็น วัฏจักรอย่างนี้เรื่อยไป
                2. การไม่ยอมรับในความเป็นของฝ่ายอื่น เมื่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลก้าวขึ้นมามีอำนาจสูงสุดในการปกครอง ตนเองก็ย่อมต้องการที่จะมีสิทธิ์เด็ดขาดในสังคม จึงมิได้รับฟังความคิดเห็นที่แต่งต่างออกไป ด้วยเห็นว่าเป็นผู้ที่คิดต่อต้าน แต่เมื่อขาดการรับฟังก็ทำให้เกิดความหลงระเริงในอำนาจ การฉ้อราษฎร์บังหลวง และสิ่งเป็นผลเสียต่อสังคมอีกมากมาย
                3. การไม่ยอมรับในอำนาจที่อีกฝ่ายได้รับ กล่าวคือ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจไม่ว่าจะสมัยใดก็ตาม ฝ่ายอำนาจเก่ามักจะไม่ยอมรับในอำนาจของอีกฝ่ายเพราะทำให้ตนสูญเสียอำนาจ เกิดการต่อต้านเพื่อเรียกร้อง, ร้องขอ อำนาจ ทำให้อำนาจกลายเป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการเมืองอีกอย่างหนึ่งไปโดยปริยาย มีการตั้งกลุ่มเพื่อดำเนินการต่อต้าน ทั้งที่เปิดเผลและเป็นกลุ่มลับ ใช้ทั้งวิธีสะอาดและสกปรก
                4. ผลประโยชน์  ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า อำนาจกลายเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง เพราะอำนาจนั้นสามารถก่อให้เกดผลประโยชน์ได้ แต่เมื่อผลประโยชน์ที่ได้ถูกจัดแบ่งไม่เท่ากัน ก็ก่อให้เกิดเป็นความขัดแย้งขึ้นมาได้อีกเช่นกัน เช่น การขัดแย่งผลประโยชน์ตำแหน่งทางการเมือง, การขัดแย้งผลประโยชน์ทางการค้า และการทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนยังคงไว้ซึ้งอำนาจและผลประโยชน์ ซึ่งก่อให้เกิดผลสำคัญในระบอบการเมืองไทย คือ ในระยะเวลา 78 ปีของระบบรัฐสภา ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรี 27 คน มีคณะรัฐมนตรี 59 ชุด มีรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ มีกบฏ 11 ครั้ง มีการปฏิวัติรัฐประหาร 12 ครั้ง

แนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
การจัดการด้วยสันติวิธี
                สันติวิธี คือวิธีการจัดการกับความขัดแย้งวิธีหนึ่ง การใช้สันติวิธีมีเหตุผลสำคัญตรงที่ว่า เป็นวิธีการที่น่าจะมีการสูญเสียน้อยที่สุด ทั้งระยะสั้นระยะยาว ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ผิดกับการใช้ความรุนแรง ซึ่งทุกฝ่ายอ้างว่าเป็นวิธีการสุดท้าย ซึ่งบางกรณีสามารถบรรลุผล ในระยะสั้นเป็นรูปธรรมชัดเจน แต่หากความขัดแย้งดำรงอยู่เพียงแต่ถูกกดไว้
                โอกาสที่จะเกิดความรุนแรงในระยะยาวย่อมมีอยู่ ส่วนในทางนามธรรม เช่น ความเข้าใจอันดี ความสามัคคีปรองดอง นั้นย่อมเกิดขึ้นได้ยากด้วยวิถีความรุนแรง บางคนมองสันติวิธีในลักษณะปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจ เช่น การใช้ปฏิบัติการไร้ความรุนแรง เพื่อให้รัฐหรือผู้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือพฤติกรรมบางคนใช้สันติวิธี เพราะความเชื่อว่าจะให้ผลที่ยั่งยืนและเป็นไปตามหลักจริยธรรม หรือ ศาสนธรรม บางคนใช้สันติวิธีตามหลักการบริหารเพื่อลดความขัดแย้ง ไปใส่รูปแบบอื่นที่จะจัดการได้ดีกว่า โดยไม่ใช้ความรุนแรง ลักษณะสำคัญของสันติวิธี คือ ไม่ใช่วิธีที่เฉื่อยชาหรือยอมจำนน หากเป็นวิธีที่ขันแข็งและต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ใช่ยุทธวิธีที่เลือกใช้ในบางโอกาส หากเป็นยุทธศาสตร์ที่ปฏิบัติได้อย่าสม่ำเสมอ เป็นสัจธรรมที่น่าเชื่อถือไม่ใช่วิธีที่ดีในเชิงกระบวนการเท่านั้น หากเป็นวิธีที่หวังผลที่กลมกลืนกับวิธีการด้วย
                คุณค่าของสถาบันดั้งเดิมที่เป็นกลางทางการเมือง
         
เราจะเตรียมการเพื่อป้องกันความรุนแรงอย่างกรณีพฤษภาอำมหิต มิให้เกิดขึ้นได้อย่างไร การพยายามขจัดการซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง เป็นหนทางหนึ่ง แต่ปัญหานี้จะขจัดได้อย่างแท้จริงต้องลงไปถึงรากถึงโคน คือ แก้ไขปัญหาช่องว่างระหว่างคนเมืองกับคนชนบท อันเป็นผลมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่สมดุล การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นมีส่วนช่วยให้กลไกระดับท้องถิ่นมีความฉับไวในการตอบสนองความต้องการของชาวชนบท และทำให้ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการคิดค้นมาตรการอื่นๆ อีกมาก เช่น การเสนอสภากระจก การมีผู้ตรวจการรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาเป็นตัวแทนของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและชอบธรรม การเปิดให้มหาชนเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ก็เป็นการกระจายอำนาจออกจากรัฐอีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งช่วยให้ประชาชนมีเสรีภาพทางด้านข้อมูลข่าวสารมากขึ้น
                อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมือง และการปฏิรูปสถาบันต่างๆ เพื่อให้เป็นกลไกแก้ไขความขัดแย้งที่มีประสิทธิภาพนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและเป็นกระบวนการที่อาจยืดเยื้อยาวนาน สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะ หากมองในแง่วัฒนธรรมแล้ว สถาบันและกลไกเหล่านี้มิได้เป็นสิ่งที่มีอยู่ในวัฒนธรรมเดิมของไทย หากถูก นำเข้ามาในสังคมไทยเมื่อ ๒-๓ ชั่วคนที่แล้วนี้เอง ไม่ว่าจะเป็นระบบตำรวจ ระบบตุลาการ รัฐสภา การปกครองแบบรัฐบาล ระบบสื่อสารมวลชน รวมทั้งสถาบันทหารที่มีลักษณะประจำการ ระบบและสถาบันเหล่านี้อย่างมากก็มีอายุแต่ ๑๐๐ ปี แต่ก่อนนั้นการปกครอง การดูแลรักษาความสงบ การพิจารณาคดีความตลอดจนการให้การศึกษาและการดูแลรักษาสุขภาพเป็นเรื่องที่ชุมชนจัดทำขึ้นเอง จนเมื่อศตวรรษที่แล้ว กิจการเหล่านี้ได้ถูกดึงออกจากหมู่บ้านและรวมมาอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐที่ส่วนกลาง โดยแบ่งไปตามกระทรวงทบวงกรมต่างๆ

ศักยภาพของสถาบันสงฆ์ในการระงับความขัดแย้ง
                ความเป็นกลางทางการเมืองของสถาบันสงฆ์ไทย เป็นเรื่องที่มีมาช้านานกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย ในอดีตวัดถูกยกให้เป็นเขตอภัยทานอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ผู้เป็นปฏิปักษ์หรือสามารถคุกคามราชบัลลังก์สามารถเข้ามาหลบลี้หนีภัยได้โดยพระราชอาชญาก็ไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปได้ มีหลายครั้งที่บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ได้อาศัยผ้ากาสาวพัสตร์คุ้มภัยในยามที่มีการผลัดแผ่นดิน อาทิ พระเทียรราชาได้ลาผนวชเมื่อสิ้นแผ่นดินพระไชยราชา และเมื่อพระเทียรราชาขึ้นครองราชย์เป็นพระมหาจักรพรรดิได้ไม่กี่ปี พระศรีศิลปะ พระอนุชาของพระยอดฟ้ากษัตริย์องค์ก่อน ก็ลาผนวชเพื่อหนีภัยจากพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ ยังพระเจ้าอุทุมพร ก็ลาผนวชเพื่อเปิดทางให้พระเชษฐา คือเจ้าฟ้าเอกทัศน์ขึ้นครองราชย์ เช่นเดียวกับพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงครององค์ในเพศบรรพชิตตลอดรัชสมัยของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในอดีตเป็นที่รู้กันว่าเมื่อมาอยู่วัด ก็ปลอดพ้นจากภยันตรายจากบ้านเมือง มีหนทางเดียวเท่านั้นที่ฝ่ายตรงข้ามจะทำร้ายได้คือ การล่อให้ลาสิกขาดังพระเจ้าปราสาททองใช้อุบายลวงจนพระศรีศิลปะ(พระอนุชาพระเจ้าทรงธรรม) ลาสิกขามายังราชสำนักและถูกสำเร็จโทษในที่สุด
มองในแง่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม สถาบันสงฆ์ไทยมีความเป็นกลางทางการเมืองนานกว่าสถาบันใดๆ สถาบันพระมหากษัตริย์เพิ่งมามีสถานะที่เป็นกลางภายหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตยมาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญ ขณะที่ความเป็นกลางและบทบาทในทางสมานไมตรีของสถาบันสงฆ์สามารถสืบย้อนไปถึงสมัยพุทธกาล โดยมีพระพุทธองค์เป็นแบบอย่างโดยเฉพาะในคราวที่ทรงห้ามพระญาติไม่ให้ทำสงครามกันด้วยเหตุเพียงเพราะการแย่งชิงน้ำและการถือวรรณะ
โดยสรุปแล้ว การแก้ไขความขัดแย้งในสังคมไทย จะต้องอาศัยวิธีการหรือแนวทางที่หลากหลายมาเป็นเครื่องมือผสมผสาน ต้องใช้วิธีการผ่อนปรนเข้าหากันหรือการประนีประนอมค่อยเป็นค่อยไป หรือการเกลื่อนกลืนแนวความคิดของกลุ่มชนชั้นแต่ละกลุ่ม รวมทั้งการขอความร่วมมือ ความเห็นพ้องต้องกัน ในการขจัดปัญหาความขัดแย้ง โดยเฉพาะรัฐซึ่งเป็นกลไกสำคัญของความไม่เสมอภาคในสังคมที่สั่งสมกลายเป็นปมปัญหาความขัดแย้งต้องมีความละมุนในการแก้ไขปัญหา และควรหลีกเลี่ยงที่จะเข้าเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง และที่สำคัญต้องจัดสรรผลประโยชน์หรือการกระจายทรัพยากรอย่างทั่วถึง จึงจะทำให้ความขัดแย้งในสังคมปรากฏน้อยที่สุด


















อ้างอิง
http://prachatai.com/journal/2010/12/32447                              
http://www.visalo.org/article/peace350929.htm                         
http://www.oknation.net/blog/nhongkampangdin/2010/03/28/entry-1               
http://www.watsamrong.com/tamma3.htm                                 
http://th.wikipedia.org/wiki/หมวดหมู่:ประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์       
 http://www.idis.ru.ac.th/report/index.php?topic=1607.0         

2 ความคิดเห็น:

  1. เป็นเรื่องที่ดี เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน

    ตอบลบ
  2. อ่านแล้วข้อมูลเต็มเปี่ยมเลยครับ แม้เลื่อนเมาส์ ลงมาล่างสุดแบบไม่ได้อ่าน ความรู็เหมือนโหลดเข้าหัวเองอัตโนมัตเลย ชาติ หรอยแท้

    ตอบลบ